tag:blogger.com,1999:blog-55032773466787247322024-02-20T17:40:54.825-08:00ผู้หญิงลัลลาผู้หญิงลัลลาhttp://www.blogger.com/profile/15460925113498998808noreply@blogger.comBlogger9125tag:blogger.com,1999:blog-5503277346678724732.post-36484043615325617662011-02-17T00:19:00.000-08:002011-02-17T00:19:28.734-08:00กลอนวาเลนไทน์ผู้หญิงลัลลาhttp://www.blogger.com/profile/15460925113498998808noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5503277346678724732.post-74547490970150753712011-02-17T00:17:00.001-08:002011-02-17T00:17:15.947-08:00ที่มาของหมีแพนด้าวันนี้ <a href="http://pungda.exteen.com/"><strong><span style="color: #336600;">หมีนรก</span></strong></a> จะมาเล่าความเป็นมาของแพนด้ากันหน่อย <br />
<br />
<strong>แพนด้ายักษ์ หรือไจแอนท์แพนด้า</strong> (Ailuropoda melanoleuca) <strong>คนไทยนิยมเรียกหมีแพนด้า</strong> เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมซึ่งปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์หมี(Ursidae) ถิ่นอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน อาหาร โปรดของแพนด้ายักษ์คือไผ่ นอกนั้นจะเป็นหญ้าชนิดอื่น ๆ ลักษณะเฉพาะของแพนด้ายักษ์คือมีขนสีดำรอบดวงตา, ใบหู, บ่า และขาทั้งสี่ข้าง ส่วนอื่นประกอบด้วยขนสีขาว <br />
<img alt="" border="1" height="250" src="http://pungda.exteen.com/images/Lightmatter_panda.jpg" width="400" /><br />
<br />
ปัจจุบันแพนด้ายักษ์เป็นหนึ่งในสัตว์สายพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์มากที่สุดสายพันธุ์หนึ่งของโลก ตามรายงานล่าสุ มี แพนด้าที่เลี้ยงในกรงเลี้ยง 239 ตัวอยู่ในจีน และอีก 27 ตัวอยู่ในต่างประเทศ มีการคาดการณ์ไว้ว่ามีแพนด้ายักษ์ประมาณ 1,590 ตัวอาศัยอยู่ตามธรรมชาติ อย่างไรก็ดี จากการศึกษาในปี พ.ศ. 2549 ผ่านการวิเคราะห์ดีเอ็นเอ สามารถประมาณการได้ว่าอาจจะมีแพนด้ายักษ์เป็น จำนวนถึง 2,000-3,000 ตัวอาศัยอยู่ตามธรรมชาติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจำนวนแพนด้าตามธรรมชาติเพิ่มจำนวนขึ้น สหภาพ นานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติเชื่อว่าข้อมูลดัง กล่าวยังไม่มีความแน่นอนพอที่จะย้ายชื่อแพนด้ายักษ์ออกจากบัญชีรายชื่อสัตว์ ที่ใกล้สูญพันธุ์<br />
<br />
แพนด้ายักษ์ เป็นที่รู้จักในตะวันตกเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2412 โดยมิชชันนารีชาวฝรั่งเศสอาร์มันด์ เดวิด ผู้ซึ่งได้รับหนังของแพนด้ามาจากนายพรานเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2412 ส่วนชาวตะวันตกคนแรกที่เป็นที่รู้จักว่าเห็นแพนด้ายักษ์ที่ยังมีชีวิต คือนักสัตว์วิทยาเยอรมัน ฮิวโก เวยโกลด์ เขาซื้อลูกของมันมาในปี พ.ศ. 2459 เคอร์มิท และ ธีโอดอร์ รูสเวลท์ จูเนียร์ ได้เป็นชาวต่างชาติแรก ที่ยิงแพนด้าในการเดินทางศึกษาที่ประเทศจีน เพื่อนำไปสตัฟฟ์และใช้ในการศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ฟิลด์ ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 ในปี พ.ศ. 2479 รุธ ฮาร์คเนส เป็นชาวตะวันตกคนแรก ที่นำเข้าแพนด้ายักษ์ที่มีชีวิตมายังสหรัฐฯ เป็นลูกแพนด้าชื่อซู-ลิน โดยนำมาเลี้ยงที่สวนสัตว์บรูคฟิลด์ในชิคาโก<br />
<br />
แพนด้า ยักษ์ถือเป็นสัญลักษณ์ทางการทูตอย่างหนึ่งของจีน จะเห็นได้ว่าจีนส่งหมีแพนด้าไปยังสวนสัตว์สหรัฐอเมริกา และ ญี่ปุ่น ในช่วง คริสต์ทศวรรษ 1970 โดยการให้ยืม ซึ่งเป็นเครื่องหมายการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างจีนและชาติตะวันตก การปฏิบัติเป็นธรรมเนียมเช่นนี้ทำให้มีคนเรียกแพนด้าว่า "ทูตสันถวไมตรี"<br />
<br />
อย่าง ไรก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 ไม่มีการใช้หมีแพนด้าในฐานะทูตสันถวไมตรีอีกต่อไป แต่จีนมีการเสนอที่จะส่งแพนด้ายักษ์ไปยังชาติอื่นโดยให้ยืมเป็นเวลา 10 ปี โดยต้องจ่ายค่าธรรมเนียมพื้นฐานปีละ 1,000,000 เหรียญสหรัฐ และมีข้อกำหนดว่าลูกของแพนด้ายักษ์ใด ๆ ที่เกิดระหว่างการยืมนั้น ถือเป็นทรัพย์สินของสาธารณรัฐประชาชนจีน<br />
<br />
แพนด้า ยักษ์มีถิ่นอาศัยอยู่ตามพื้นที่ภูเขา เช่น มณฑลเสฉวน ซานซี กานซูและทิเบต แพนด้ายักษ์เป็นสัญลักษณ์ของกองทุน สัตว์ป่าโลก (World Wildlife Fund:WWF) องค์กรด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า ตั้งแต่ช่วงหลังของศตวรรษที่ 20 แพนด้าได้กลายเป็นสัตว์ประจำชาติของประเทศจีน และรูปภาพของมันได้อยู่บนเหรียญทองของจีน ถึง แม้พวกมันจะจัดอยู่ในวงศ์ของหมี แต่พฤติกรรมการกินของมันแตกต่างจากหมีโดยสิ้นเชิง แพนด้าเป็นสัตว์กินพืชเป็นอาหาร โดย 99% ของอาหารที่มันกินคือไผ่ แต่บางทีอาจพบว่ามันก็กินไข่ ปลา และแมลงบางชนิดในไม้ไผ่ที่มันกิน นี่เป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญ <br />
<br />
เปรียบเทียบให้เห็นกันชัดๆ กับ <strong>Panda ของปลอม</strong> กับ <span style="color: red;"><strong>Pungda ของแท้ </strong></span><br />
<img alt="" height="300" src="http://pungda.exteen.com/images/panda_pungda.jpg" width="400" /> <br />
... งงแล้วล่ะสิ ว่าข้างไหนจริงข้างไหนปลอม <br />
<br />
<br />
หลาย สิบปีที่ผ่านมา การจัดจำแนกสายพันธุ์ที่แน่นอนของแพนด้ายังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แพนด้ายักษ์และแพนด้าแดงซึ่งเป็นญาติสายพันธุ์ห่าง ๆ กัน และยังมีลักษณะพิเศษที่เหมือนทั้งหมีและแรคคูน อย่างไรก็ตาม การทดลองทางพันธุกรรมบ่งบอกว่าแพนด้ายักษ์เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ของหมี (วงศ์ Ursidae) หมีที่สายพันธุ์ใกล้เคียงที่สุดของแพนด้าคือหมีแว่นของอเมริกาใต้ (ข้อขัด แย้งที่ยังคงเป็นที่สงสัยอยู่คือแพนด้าแดงนั้นอยู่ในวงศ์ใด เป็นที่ถกเถียงว่าอาจจะอยู่ในวงศ์หมี (Ursidae), วงศ์แรคคูน, วงศ์โพรไซโอนิเด (Procyonidae), หรืออยู่ในวงศ์เฉพาะของมันเอง ไอเลอริเด (Ailuridae))<br />
<br />
แพนด้า เป็นสัตว์สปีชีส์ที่ถูกคุกคามหรืออยู่ในอันตรายต่อการสูญพันธ์ ทั้งนี้มาจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่จากการบุกรุกของมนุษย์ อัตราการเกิดต่ำทั้งในป่าและในกรงเลี้ยง เชื่อว่ามีแพนด้ายักษ์เพียง 1,600 ตัว อาศัยอยู่รอดในป่า<br />
<br />
หมีแพนด้ามีอุ้งตีนที่ผิดจากธรรมดา คือมีนิ้วหัวแม่มือ และมีนิ้วอีก 5 นิ้ว นิ้วหัวแม่มือที่จริงแล้วมาจากการปรับปรุงรูปแบบของกระดูกข้อต่อ สตีเฟน เจย์ กาวลด์ ได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ โดยมีชื่อเรื่องว่า The Panda's Thumb หรือ นิ้วหัวแม่มือของแพนด้า หางของแพนด้ายักษ์นั้นสั้นมาก โดยมีความยาวประมาณ 15 เซนติเมตรผู้หญิงลัลลาhttp://www.blogger.com/profile/15460925113498998808noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5503277346678724732.post-16958831445779784812011-02-17T00:06:00.001-08:002011-02-17T00:06:07.615-08:00กลอนโดนๆของคนอกหักผู้หญิงลัลลาhttp://www.blogger.com/profile/15460925113498998808noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5503277346678724732.post-5658052129344226382011-02-16T23:38:00.003-08:002011-02-16T23:38:12.512-08:00<span style="color: royalblue;"><strong>ตำนานเล่าเรื่อง</strong> <br />
ประเพณีลอยกระทงนั้นมีมาแต่โบราณ โดยมีคติความเชื่อหลายอย่าง เช่น เชื่อว่าเป็นการบูชาและขอขมา<br />
แม่พระคงคา เป็นการสะเดาะเคราะห์ เป็นการบูชาพระเจ้าในศาสนาพราหมณ์ หรือเป็นการบูชารอยพระพุทธบาท เป็นต้น การลอยกระทงนิยมทำกันในวันเพ็ญ เดือน 12 ของทุก ๆ ปี อันเป็นช่วงที่น้ำในแม่น้ำลำคลองขึ้นสูงและ<br />
อากาศเริ่มเย็นลง ตามพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือน และตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ได้กล่าวว่า นางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ พระสนมเอกในพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัย เป็นผู้ริเริ่มประดิษฐ์กระทงสำหรับลอยประทีป<br />
เป็นรูปดอกบัวบานขึ้น ซึ่งคนทั่วไปนิยมทำตามสืบต่อมา นอกจากนั้นในศิลาจารึกหลักที่ 1 ยังได้กล่าวถึงงานเผาเทียน<br />
เล่นไฟ ของกรุงสุโขทัยไว้ด้วยว่า เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกรุงสุโขทัย ทำให้ผู้รู้ทั้งหลายสันนิษฐานต้องตรงกันว่า งานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอยกระทงอย่างแน่นอน<br />
<br />
<br />
<b>จุดเด่นของพิธีกรรม</b> <br />
การลอยกระทงเป็นนักขัตฤกษ์รื่นเริงของคนทั่วไป เมื่อเป็นพิธีหลวง เรียก " พระราชพิธีจองเปรียง <br />
ลดชุดลอยโคมส่งน้ำ" ต่อมาเรียก "ลอยพระประทีป" พิธีนี้มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยดัง ปรากฏหลักฐานอยู่ใน <br />
หนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ และได้กระทำต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาตลอดจนถึงสมัยกร ุงรัตนโกสินทร์ <br />
พิธีลอยกระทงเดิมทำกันในวันเพ็ญเดือน11 และวันเพ็ญเดือน12 ปัจจุบันพิธีลอยกระทงเฉพาะวันเพ็ญเดือน12 <br />
พิธีลอยกระทง สันนิษฐานว่าได้มาจากอินเดีย ตามลักธิพราหมณ์เชื่อว่า ลอยกระทงเพื่อบูชาแม่น้ำคงคง <br />
อันศักค์สิทธิ์ของอินเดีย และลอยเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า คือ พระนารายณ์ ซึ่งบรรทมสินธุ์อยู่กลางเกษียรสมุทร <br />
อีกประการหนึ่ง ศาสนาพุทธเชื่อว่าการลอยกระทงเป็นการทำพิธีเพื่อต้อน รับพระพุทธเจ้าในวันเสด็จจากเทวโลก<br />
สู่โลกมนุษย์ ภายหลังจากทรงเทศนาโปรด พุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ บ้างก็เชื่อว่าเพื่อบูชา<br />
พระบรมสารีริกธาตุ ที่บรรจุไว้ในพระจุฬามณี พระเจดีย์บนสวรรค์ บางก็ว่าเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทที่ทรง<br />
ประทับไว้ ณ หาดทราย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมหานทีในแคว้นทักขิณาบถ ของประเทศอินเดีย (ปัจจุบันเรียกว่า<br />
แม่น้ำเนรพุททา) บางท่านก็ว่า ลอยกระทงเพื่อขอบคุณพระแม่คงคาที่ให้เราได้อาศัยน้ำก ินน้ำใช้ และขออภัย<br />
พระแม่คงคา ที่ทิ้งสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ลงในน้ำ เมื่อถึงวันเพ็ญ เดือน 12 ประชาชนจะจัดทำกระทงเป็นรูปต่าง ๆ<br />
ด้วยใบตอง หรือกาบใบต้นพลับพลึง หรือวัสดุอื่น ๆ ประดับตกแต่งกระทงให้สวยงามด้วยดอกไม้สดในกระทง<br />
จะปักธูปเทียน บางทีก็ใส่สตางค์ หรือหมากพลูลงไปด้วยสมัยก่อนในพิธีลอยกระทงมีการเล่น สักวาเล่นเพลงเรือ<br />
และมีแสดง มหรสพประกอบงานมีการประกวด นางนพมาศ ประกวด กระทงและร่วมกันลอยกระทง โดยจุด<br />
ธูปเทียน กล่าวอธิษฐานตามที่ใจปรารถนาและปล่อยกระทงให้ลอยไปตา มน้ำ<br />
<br />
<br />
<b>จุดมุ่งหมายของการลอยกระทง</b><br />
ตามความเชื่อของพุทธศาสนิกชนชาวไทยตั้งแต่ครั้งโบราณ สรุปได้ 3 ประการ คือ<br />
1. เชื่อว่าเป็นการบูชาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิธีหน ึ่งโดยใช้น้ำที่ไหลไปเป็นพาหนะนำกระทง<br />
ดอกไม้ธูปเทียนไปสักการะพระองค์ท่านโดยจินตนาการประก อบกับเป็นช่วงฤดูน้ำหลากพระจันทร์<br />
เต็มดวงในคืนวันเพ็ญเป็นบรรยากาศที่ทำให้คนในสมัยก่อ นซึ่งยึดมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น เกิดความสุขสงบเป็นพิเศษจึงได้จัดพิธีบูชาพระพุทธคุณ ด้วยกระทงดอกไม้ธูปเทียนพร้อมกับงานรื่นเริงอื่น ๆ<br />
2.เชื่อว่าเป็นการลอยความทุกข์โศกของตนที่มีอยู่ให้อ อกไปจากตัวกับสายน้ำที่ไหลไปนั้นพร้อม<br />
กับตั้งจิตอธิษฐานขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ตนและคร อบครัวได้รับแต่สิ่งที่ดี<br />
3.เชื่อว่าเป็นการขอขมาต่อน้ำโดยเฉพาะแม่น้ำลำคลองซึ ่งมีคุณอย่างอเนกอนันต์ต่อคนสมัยก่อน ทั้งเรื่องใช้อาบชะล้างสิ่งต่างๆประจำวันรวมทั้งการเ พาะปลูกการคมนาคมถือว่าเป็นการกระทำล่วง<br />
เกินให้น้ำสกปรกจึงได้ทำพิธีขอขมาอย่างเป็นพิธีการอย ่างน้อยปีละครั้ง<br />
<br />
<br />
<b>ความหมาย</b> <br />
ลอยกระทง หมายถึง ประเพณีบูชารอยพระพุทธบาท แสดงความ สำนึกบุญคุณของแหล่งน้ำอันมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิ ตและเป็นการ การบูชาพระแม่คงคาเทวีตามความเชื่อแต่โบราณด้วยกระทง ดอกไม้ธูป เทียน ประกอบกับสิ่งประดิษฐ์จากธรรมชาติที่ลอยน้ำได้ </span>ผู้หญิงลัลลาhttp://www.blogger.com/profile/15460925113498998808noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5503277346678724732.post-28881471212127153752011-02-16T23:36:00.001-08:002011-02-16T23:36:43.341-08:00<div class="fileboxheader"><h1>ประวัติวันวาเลนไทน์</h1></div><center><script type="text/javascript">
<!--
google_ad_client = "pub-5224448472858713";
/* 336x280, ถูกสร้างขึ้นแล้ว 12/22/10 */
google_ad_slot = "3705443950";
google_ad_width = 336;
google_ad_height = 280;
//-->
</script><script src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type="text/javascript">
</script><script src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20110208/show_ads_impl.js">
</script><script src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js">
</script><script src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js">
</script><script src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js">
</script><script>
google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);
</script><ins style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; display: inline-table; height: 280px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: relative; visibility: visible; width: 336px;"><ins id="google_ads_frame1_anchor" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; display: block; height: 280px; margin: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; padding-right: 0px; padding-top: 0px; position: relative; visibility: visible; width: 336px;"><iframe allowtransparency="allowtransparency" frameborder="0" height="280" id="google_ads_frame1" marginheight="0" marginwidth="0" name="google_ads_frame" scrolling="no" src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-5224448472858713&output=html&h=280&slotname=3705443950&w=336&lmt=1297928149&flash=10.0.42.34&url=http%3A%2F%2Fvariety.mwake.com%2Fstory%2F636%2F%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%258C.html&dt=1297928149406&shv=r20101117&jsv=r20110208&saldr=1&correlator=1297928149468&frm=0&adk=3217926681&ga_vid=301416106.1297928150&ga_sid=1297928150&ga_hid=1582911751&ga_fc=0&u_tz=420&u_his=5&u_java=1&u_h=768&u_w=1024&u_ah=738&u_aw=1024&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1003&bih=604&ref=http%3A%2F%2Fwww.google.co.th%2Furl%3Fsa%3Dt%26source%3Dweb%26cd%3D4%26ved%3D0CEAQFjAD%26url%3Dhttp%253A%252F%252Fvariety.mwake.com%252Fstory%252F636%252F%2525E0%2525B8%25259B%2525E0%2525B8%2525A3%2525E0%2525B8%2525B0%2525E0%2525B8%2525A7%2525E0%2525B8%2525B1%2525E0%2525B8%252595%2525E0%2525B8%2525B4%2525E0%2525B8%2525A7%2525E0%2525B8%2525B1%2525E0%2525B8%252599%2525E0%2525B8%2525A7%2525E0%2525B8%2525B2%2525E0%2525B9%252580%2525E0%2525B8%2525A5%2525E0%2525B8%252599%2525E0%2525B9%252584%2525E0%2525B8%252597%2525E0%2525B8%252599%2525E0%2525B9%25258C.html%26rct%3Dj%26q%3D%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%258C%26ei%3Dyc9cTefqMYmlcbySnYEK%26usg%3DAFQjCNEq1FbsxShh6fLvrSalBq-QGdfnJg%26sig2%3DHb_sIvVLOXJl-QOdZhVKlw&fu=0&ifi=1&dtd=125&xpc=GMro5F3guC&p=http%3A//variety.mwake.com" style="left: 0px; position: absolute; top: 0px;" width="336"></iframe></ins></ins></center><div class="boxestext_file_load"><!-- Load File --><div align="center"><img alt="ประวัติวันวาเลนไทน์" src="http://variety.teenee.com/foodforbrain/img1/63338.jpg" /></div><span lang="th"> </span><span style="color: magenta;"><b>วันวาเลนไทน์ (Valentine'sDay)</b></span> วันนักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine's Day) หรือที่รู้จักกันว่า วันแห่งความรัก ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็น วันประเพณีที่คู่รักบอกให้กันและกันทราบเกี่ยวกับความรักของพวกเขา โดยการส่งการ์ดวาเลนไทน์ มอบของขวัญวาเลนไทน์ หรือพาคนรักไปท่องเที่ยวในสถานที่โรแมนติก ซึ่งต่อมาวันวาเลนไทน์ ก็ได้นิยมแพร่หลายไปทั่วยุโรปและอเมริกา และเข้ามาในทวีปเอเชีย รวมถึงประเทศไทยด้วย <br />
<br />
<span lang="th"> </span>วันนี้เริ่มเกี่ยวข้องกับความรักแบบชู้สาวในช่วงยุค High Middle Ages เมื่อประเพณีความรักแบบช่างเอาใจ (courtly love) แผ่ขยายก่อนคริสตศักราช 269 ปี <br />
<br />
<span lang="th"> </span>ในสมัยนั้นเขาไม่นิยมให้แต่งงานกันในโบสถ์ แต่เซนต์วาเลนไทน์กลับให้คนภายนอกเข้ามาแต่งงานได้ซึ่งประเพณีรักแบบนี้มัก จะถูกต่อต้าน แต่เซนต์วาเลนไทน์กลับให้คนรักกันแบบนี้ได้ จากนั้นเซนต์วาเลนไทน์ถูกพวกโรมันจับตัวส่งไปขังและเขาก็ได้พบรักกับสาว ตาบอดในคุก เมื่อฝ่ายที่ว่ามานี้รู้ข่าวเข้าจึงนำเซนต์วาเลนไทน์ไปประหารวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันนี้จึงเป็นวันวาเลนไทน์นั่นเอง<br />
<br />
<span style="color: red;"><u><b>ความเป็นมาวันวาเลนไทน์</b></u></span><br />
<span lang="th"> </span>วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia <br />
<br />
<span lang="th"> </span>การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณีอย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็กๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรัก กันและแต่งงานกันในที่สุด <br />
<br />
<span lang="th"> </span>ภาย ใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลายครั้ง และคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วม ในศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัว และคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงาน และงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม <br />
<br />
<span lang="th"> </span>ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญวาเลนไทน์ ท่านเป็นพระที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์และนักบุญมาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็กๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับๆ ด้วย<br />
<br />
<span lang="th"> </span>และ จากการกระทำเหล่านี้เอง ทำให้นักบุญวาเลนไทน์ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศรีษะ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์<br />
<br />
<br />
<br />
<span style="color: red;"><u><b>ประวัติท่านนักบุญวาเลนไทน์</b></u></span><br />
<span lang="th"> </span>เซนต์วาเลนไทน์ หรือนักบุญวาเลนไทน์นั้นเป็นพระที่อยู่ในกรุงโรมระหว่างศตวรรษที่ 3 ในเวลานั้นกรุงโรมถูกปกครองโดยจักรพรรดิที่ชื่อว่า "คลอดิอุส" ซึ่งมีนิสัยชอบข่มเหงผู้อื่น ทำให้ไม่เป็นที่รักของประชาชนเท่าใดนัก จักรพรรดิคลอดิอุสต้องการสร้างกองทัพอันยิ่งใหญ่ และหวังให้ชายชาวโรมันทั้งหลายอาสาสมัครเข้ามาเป็นทหารในการสงคราม แต่ก็ไม่มีชายคนใดจะกระทำตามนั้น จักรพรรดิคลอดิอุสจึงออกกฏหมายห้ามให้มีการแต่งงานหรืองานหมั้นใดๆ เกิดขึ้น ทำให้ประชาชนไม่พอใจรวมทั้งนักบุญวาเลนไทน์เองด้วย <br />
<br />
<span lang="th"> </span>ในเวลาต่อมานักบุญวาเลนไทน์ได้จัดการแต่งงานให้กับคู่หญิงสาวหลายคู่ขึ้น อย่างลับๆ ถึงแม้ว่าจะมีการประกาศการใช้กฏหมายห้ามแต่งงานแล้วก็ตาม นักบุญวาเลนไทน์ยังคงรักที่จะทำพิธีเหล่านี้ โดยภายในงานนั้นจะมีเพียงเจ้าบ่าว เจ้าสาว และท่านนักบุญเท่านั้น พวกเขาจะกระซิบคำสาบานและคำอธิษฐานต่อกัน ในขณะเดียวกันก็ต้องคอยเงี่ยหูฟังเสียงการเดินตรวจตราของเหล่าทหารด้วย <br />
<br />
<span lang="th"> </span>แต่แล้วคืนหนึ่ง ในขณะที่กำลังทำพิธีแต่งงานอย่างลับๆ อยู่นั้นเอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์เกิดได้ยินเสียงผีเท้าของทหาร แต่โชคดีที่คู่บ่าวสาวนั้นหนีออกไปจากโบสถ์ได้ทัน ในที่สุดนักบุญวาเลนไทน์จึงถูกจับขังคุกและถูกทรมานอย่างแสนสาหัส ท่านพยายามให้กำลังใจตัวเองทุกๆ วัน <br />
<br />
<span lang="th"> </span>และ แล้ววันหนึ่งสิ่งวิเศษก็เกิดขึ้น เด็กหนุ่มสาวหลายคนมาที่คุกเพื่อจะมาเยี่ยมท่านนักบุญ พวกเขาโยนดอกไม้และกระดาษซึ่งเขียนข้อความต่างๆ เข้าไปทางช่องหน้าต่างของคุก พวกเขาต้องการให้นักบุญวาเลนไทน์รู้ว่า พวกเขาเองก็มีความเชื่อและศรัทธาในความรักด้วยเช่นกัน <br />
<br />
<span lang="th"> </span>หนึ่งในเด็กสาวเหล่านั้น เป็นลูกสาวของผู้คุม ซึ่งพ่อของเธอได้อนุญาตให้เธอเข้าไปเยี่ยมนักบุญวาเลนไทน์ได้ในคุก บางครั้งพวกเขาจะนั่งคุยกันนานนับชั่วโมง หล่อนช่วยให้กำลังใจท่านนักบุญ และเห็นด้วยกับการที่ท่านปฏิเสธกฏหมายห้ามการแต่งงานนั้น อีกทั้งยังสนับสนุนการแต่งงานอย่างลับๆ ของท่านนักบุญอีกด้วย <br />
<br />
<span lang="th"> </span>ในวันที่นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิตนั้น ท่านได้เขียนจดหมายไว้ฉบับนึงเพื่อเป็นการขอบคุณในมิตรภาพและความจงรักภักดี ของหญิงสาวผู้นั้น แล้วท่านนักบุญก็ลงท้ายจดหมายฉบับนั้นว่า " Love from your Valentine. " <br />
<br />
<span lang="th"> </span>ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงมีประเพณีการแลกเปลี่ยนจดหมายรักซึ่งกันและกันในวันวาเลนไทน์ โดยจะเขียนขึ้นในวันที่นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิต คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปีคริสตศักราช 270 และปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงท่านนักบุญวาเลนไทน์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของวันนี้คือ การมอบความรักและมิตรภาพให้แก่กันและกัน <br />
<br />
<span lang="th"> </span>และทุกๆ ครั้งที่ผู้คนต่างนึกถึงจักรพรรดิคลอดิอุส เขาก็จะจำได้ถึงวิธีการที่คลอดิอุสพยายามจะมาแทนที่หนทางของความรัก แล้วก็จะพากันหัวเราะ เพราะว่าพวกเขาต่างรู้ดีว่าความรักนั้นไม่สามารถหาสิ่งใดมาทดแทนหรือแทนที่ ได้เลย<br />
<br />
<br />
<br />
<u><span style="color: red;"><b>สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์</b></span></u><br />
<span lang="th"> </span>เทพเจ้าคิวปิด ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรักดั้งเดิมของชาวโรมันในรูปเด็กทารกติดปีก กำลังโก่งคันศรทองเล็งไปยัง หัวใจของผู้คน ตามตำนานของกรีกและโรมันพูดถึงคิวปิดว่า เป็นบุตรของมาร์ (เทพเจ้าของสงคราม) และ วีนัส (เทพเจ้าแห่งความรักและความงาม) <br />
<br />
<span lang="th"> </span>วีนัสอิจฉา "ไซกี" ธิดาของกษัตริย์องค์หนึ่ง ที่กำลังแรกรุ่นและสวยกว่าวีนัสมาก นางเลยส่งคิวปิดไปหาไซกี เพื่อบันดาลให้ไซกีมีความรักกับบุรุษเพศ แต่คิวปิดแอบหลงรักไซกีและพามาที่วัง และแอบมาหาในตอนกลางคืน เพื่อไม่ให้ไซกีรู้ว่าตนเองเป็นใคร แต่มีคนอิจฉายุให้ไซกีแอบดูตอนคิวปิดนอนหลับ <br />
<br />
<span lang="th"> </span>ด้วยความตื่นเต้นที่เห็นคิวปิดเป็นหนุ่มรูปงามแลยเผลอทำน้ำมันตะเกียงหกใส่ คิวปิด เมื่อคิวปิดตื่นขึ้นก็โกรธมากที่นางขัดคำสั่งจึงทิ้งนางไป เมื่อโดนทิ้งไปไซกีก็ออกตามหาคิวปิด ซึ่งตลอดเวลาไซกีถูกนางวีนัสกลั่นแกล้งต่างๆ นานา จนคิวปิดต้องเข้ามาช่วย เทพเจ้าจูปิเตอร์เห็นใจช่วยให้ทั้งสองครองรักกัน<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>คำว่า "Valentine" มีความหมายแยกตามตัวอักษร ได้ดังนี้</b></span><br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>V</b></span> คือ VERITY ความจริงที่มีอยู่ ซึ่งความจริงแล้วถ้าความจริงสิ่งที่เป็นอยู่ของคุณและเธอ หรือเขาที่มีต่อกันแล้ว ความไว้เนื้อเชื่อใจ ความเข้าใจก็จะมีเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณทีเดียว ในโลกนี้มีสิ่งที่รู้อยู่เพียง 4 อย่างเท่านั้น คือ คุณรู้ เขาไม่รู้ คุณไม่รู้ เขารู้ คุณรู้ เขารู้ คุณไม่รู้ เขาก็ไม่รู้ ถ้าหากคุณบอกสิ่งที่คุณรู้และเขาไม่รู้ หรือคุณไม่รู้เขาบอกให้คุณรู้ ความรู้นั้นก็จะกลายเป็นสิ่งที่เปิดเผย จะบอกเขาว่ารัก ก็รีบๆ บอกเสียในวันนี้ อย่าบอกว่า การกระทำก็บอกอยู่แล้ว สายตาก็บอกอยู่แล้ว บอกให้ชัดๆ เสียว่า "รักคุณ" <br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>A</b></span> คือ AMBITION เป็นความปรารถนาดีอย่างแรงกล้า คุณจะรัก จะชอบ จะจีบใคร คุณควรมีความปรารถนาอย่างสูง มิใช่เห็นเขาส่งการ์ดให้ ส่งดอกไม้ให้ พาเขาไปฉลองสนุกๆ เท่านั้น คุณควรมีความปรารถนาในความรักอย่างจริงจังมิใช่ทำไปเพื่อตามแฟชั่น หรือเพื่อนพ้องลากไป หรือชวนให้ทำ ไปสรรหาการ์ดสวยๆ สั่งดอกกุหลาบสีแดงสดสวยๆ ไว้ล่วงหน้า พยายามทำด้วยความปรารถนาดีที่มีไฟอยู่ในใจนะ <br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>L </b></span>คือ LENIENT ความผ่อนปรน ความปรานี คุณและเขาหรือเธอควรจะมีการผ่อนปรน หรือสิ่งที่ละทิ้งได้ก็ควรจะละทิ้งไป อย่าเก็บมาใส่ใจให้เป็นขยะในใจ หรือรอยมลทินใจ อย่าคิดอะไรเก่าๆ สมัยนี้ควรที่จะคิด จะนึกได้นะว่า บางอย่างก็ทิ้งๆ ไป เสีย อย่านำมาคิด มีความปรานี เมตตาหรือความรัก ความปรารถนาดีกว่า <br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>E</b></span> คือ EQUALITY ความเสมอภาค ความทัดเทียมกันในสมัยปัจจุบัน คู่รักหรือคนรักกัน ควรจะมีความเท่าเทียมกันมิใช่อยู่ในสมัยบรรจงกราบเช้า กราบเย็น นอนทีหลังตื่นก่อนแล้ว เราต้องก้าวไปด้วยกัน ด้วยความมุ่งมั่นในอนาคต ด้วยความเสมอภาค แต่เราก็คิดเสมอว่าเคียงข้างไปด้วยกัน ขนานกันดีกว่าที่จะมาจูงกัน ก้าวไปด้วยความรักที่มีเท่าเทียมกัน เขามอบอะไรให้เรา เราก็ควรจะตอบแทนให้เขาเท่าๆ กัน พอๆ กัน มิใช่เอารัดเอาเปรียบเขา เขามาแสดงความรัก ความยินดี ด้วยกุหลาบช่อใหญ่ แต่เราให้เขาเพียงดอกเดียว ดูเป็นการเอาเปรียบกันเกินไป จริงอยู่บางคนอาจคิดว่าไม่สำคัญ แต่มันสำคัญที่ใจ ถ้าหากต่างคนต่างให้ความเสมอภาคแล้ว ตาชั่งก็คงไม่เอียงใช่ไหม <br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>N</b></span> คือ NOTABLE การยกย่องให้อยู่ในสภาพที่ดี ถึงแม้คุณจะมีความเสมอภาคเท่าเทียมกันแล้วก็ตาม คุณก็ควรจะยกย่องเธอหรือเขาให้อยู่ในสถานภาพที่ดีต่อบุคคลทั่วไป คือ เป็นการให้เกียรติยกย่องเธอหรือเขาต่อสังคม ว่าเป็นคนที่สวยเป็นคนที่ดี ไม่ว่าอยู่ต่อหน้า และลับหลัง มิใช่เอาไปนินทา เอาไปเผาต่อหน้าเพื่อนฝูงให้ไหม้เป็นจุณไป หรือพูดคุยตลกคะนอง ลับหลังเธอหรือเขาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ สู้ฉันไม่ได้ ฉันยอด คุณควรจะยกย่องเธอหรือเขา ในโอกาสที่ควร และในเวลาที่กำลังมีความรักอยู่ด้วยแล้วก็จะดียิ่งทีเดียว <br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>T</b></span> คือ TENDER ความรักใคร่ที่นุ่มนวล บรรจงเป็นห่วงเป็นใย Love me Tender คงจะบอกคุณได้หลายๆ อย่าง คุณควรจะทะนุถนอมเธอหรือเขาด้วยความรัก ความนุ่มนวล ความห่วงใย โทร.ไปสวัสดี Valentine ตั้งแต่ใครยังไม่โทร.ไปสวัสดีก่อน เพื่อให้เธอหรือเขาเห็นว่าคุณมีความห่วงใย ความปรารถนาดีแค่ไหน ไปฉลองด้วยกันต้องนุ่มนวลในบรรยากาศอย่างนั้น ดูซิ แสนจะสดชื่นกับความรักแค่ไหน <br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>I</b></span> คือ INNOVATION การทำความแปลกใหม่มาให้คู่รัก คนรักหรือชีวิตรัก มิใช่อยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้นมาตลอด ชอบกันอย่างไรก็ชอบกันมาอย่างนั้น เคยให้อะไรก็ให้อย่างนั้น คุณควรจะทำสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ มาสู่ชีวิตคุณและเธอหรือเขาด้วย การเปลี่ยนแปลงเป็นวิถีของชีวิต ดังนั้น คุณควรจะเปลี่ยนอะไรๆ บ้าง ในทางที่ดีนะ อย่างคุณจะหาอะไรในวัน Valentine ให้เธอเปลี่ยนจากดอกไม้ที่เป็นดอกกุหลาบมาเป็นผ้าตัดเสื้อลายกุหลาบ หรือผ้าเช็ดหน้าปักกุหลาบแดง หรือจี้เพชรรูปกุหลาบ เข็มกลัดกุหลาบก็ได้ ส่วนคุณที่จะมอบให้เขาอาจเป็นผ้าเช็ดหน้าปักกุหลาบ เข็มกลัดไทรูปกุหลาบ หรือแหวนรูปกุหลาบสำหรับใส่นิ้วก้อยสักวง ลองเปลี่ยนบ้างนะ <br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>N</b></span> คือ NEXUS การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ให้มีตลอดไปมิใช่วัน Valentine เท่านั้นที่คุณจะมอบกุหลาบให้เธอหรือเขา วันเกิด วันปีใหม่ วันครบรอบความรักที่เคยให้กันไว้ วันครบรอบวันแต่งงาน หรือวันสำคัญๆ ที่คุณให้ก็ได้ หรือบางวันก็ส่งช่อดอกไม้ไปให้เธอช่อใหญ่ๆ พร้อมกับคำขวัญสั้นๆ ว่า "รักคุณ" ให้คนในที่ทำงานหรือเพื่อนๆ อิจฉาเล่นก็ได้ เป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ของคุณต่อเธอหรือเขาว่าคุณยังคิดถึง ยังรักอยู่นะ <br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>E</b></span> คือ ENDURANCE ความอดทน ความยืนยงสถาพร ความอดกลั้น ความเป็นอมตะ อยู่ชั่วกาลนานคุณจะต้องมีความอดทนต่อทุกๆ สิ่ง ถ้าหากคุณต้องเผชิญกับสิ่งนั้น อาจเป็นเวลาที่คุณจะต้องคอย คุณจะต้องยืนหยัดในความปรารถนาของคุณ คุณต้องอดกลั้นเมื่อคุณเผชิญต่อสิ่งที่คุณจะต้องโมโห หรืออารมณ์เสีย ต่อหน้าเธอหรือต่อหน้าเขา คุณควรประพฤติและปฏิบัติอย่างเป็นไปอย่างนั้นอย่างเสมอๆ มิใช่นานเกือบเดือนเพิ่งจะโทร.ไปหาหรือเขียนจดหมายมา หรือหายไปเป็นปีเพิ่งจะมาบอกว่า "รักคุณ" <br />
<br />
คุณควรจะมีความรัก ความเมตตา ความปรานี ชีวิตของคุณจะสดใสดังกุหลาบแรกแย้มที่ต้องน้ำค้างของวันใหม่ทีเดียว<br />
<br />
<span lang="th"> </span>วันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ 2550 นี้ เป็นวันที่จะมอบความรัก ความเมตตาให้แก่กันและกันหรือยัง เป็นความรักที่บริสุทธิ์จากใจ ซึ่งเกิดขึ้นได้ระหว่างพ่อ แม่ ลูก เพื่อนกับเพื่อน ผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ฯลฯ<br />
<br />
มิใช่เพียงการสื่อความหมายในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว<br />
<br />
<span lang="th"> </span>การมอบกุหลาบหรือสิ่งของเป็นสื่อแทนความรู้สึกที่ดีต่อกัน ในความหมายของคำว่า Valentine หากใครยังไม่ปฏิบัติ ก็ปฏิบัติได้ในปีนี้ หรือในโอกาสที่สมควรก็ได้ เพื่อสังคมเราจะได้มีแต่ความรักความสุขและรอยยิ้ม<br />
<br />
คงไม่สายที่เราจะเริ่มสร้างไมตรีในวันสำคัญนี้<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>ธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันในวันวาเลนไทน์</b></span><br />
<br />
<span lang="th"> </span>หลายร้อยปีก่อนในประเทศอังกฤษ เด็กๆ จะแต่งตัวลอกเลียนแบบผู้ใหญ่ในวันวาเลนไทน์ แล้วร้องเพลงจากบ้านหลังหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่ง ในเนื้อเพลงท่อนหนึ่งจะกล่าวว่า " Good morning to you, Valentine ; Curl your locks as I do mine --- Two before and three behind. Good morning to you, Valentine." <br />
<br />
<span lang="th"> </span>ใน ประเทศเวลส์ ผู้ที่มีความรักและชื่นชมในงานช้อนไม้แกะสลัก จะทำการแกะสลักช้อนและมอบให้เป็นของขวัญในวันวาเลนไทน์ โดยจะสลักรูปหัวใจ และลูกกุญแจไว้บนช้อนนั้น ซึ่งมีความหมายว่า "คุณได้ไขหัวใจของฉัน" (You unlock my heart) <br />
<br />
<span lang="th"> </span>เด็ก หนุ่มสาวจะทำการเขียนชื่อคนที่ตัวเองชอบแล้วหย่อนไว้ในอ่างหรือชาม แล้วหยิบขึ้นมาหนึ่งชื่อเพื่อดูว่าใครจะเป็นคู่ของตัวเองในวันวาเลนไทน์ หลังจากนั้นก็จะเอาชื่อที่หยิบได้นี้มาติดไว้ที่แขนเสื้อเป็นเวลาหนึ่ง สัปดาห์ การทำเช่นนี้มีความหมายว่า คนๆ นั้นต้องการบอกคนทั่วไปรู้ได้ง่ายๆ ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร <br />
<br />
<span lang="th"> </span>ใน บางประเทศ ผู้หญิงจะได้รับของขวัญเป็นเครื่องแต่งกายจากผู้ชาย แล้วถ้าผู้หญิงคนนั้นเก็บของขวัญชิ้นนี้เอาไว้นั่นหมายถึงหล่อนจะแต่งงานกับ เขา <br />
<br />
<span lang="th"> </span>บาง คนมีความเชื่อว่า ถ้าผู้หญิงคนใดเห็นนกโรบินบินผ่านเหนือศรีษะตนเองในวันวาเลนไทน์ นั่นหมายถึงหล่อนจะได้แต่งงานกับกะลาสีเรือ หรือถ้าผู้หญิงคนใดเห็นนกกระจอก หล่อนก็จะได้แต่งงานกับชายยากจนและจะมีความสุข และถ้าผู้หญิงคนไหนเห็นนก Goldfinch หมายถึงหล่อนจะได้แต่งงานกับมหาเศรษฐี <br />
<br />
<span lang="th"> </span>ใน บางประเทศจะมีการทำเก้าอี้แห่งรักขึ้นมา ซึ่งจะเป็นเก้าอี้ที่มีขนาดกว้าง ในครั้งแรกที่มีการทำเก้าอี้นี้ขึ้นมาก็เพื่อจะให้ผู้หญิงที่แต่งตัวในชุด ราตรีนั่ง ต่อมาเก้าอี้แห่งรักนี้ได้ทำขึ้นเป็นสองส่วนและมักจะทำเป็นรูปตัวเอส (S) ซึ่งการทำเก้าอี้ทรงนี้จะทำให้คู่รักสามารถนั่งด้วยกันได้ แต่จะไม่ใกล้ชิดกันจนเกินไป <br />
<br />
<span lang="th"> </span>บาง ธรรมเนียมในบางแห่งของโลก เด็กหนุ่มสาวจะนึกถึงชื่อของคนที่ตัวเองอยากจะแต่งงานด้วยประมาณห้าถึงหก ชื่อ ในขณะที่ปอกเปลือกผลแอปเปิ้ลนั้นให้เป็นขดนั้น ก็ให้เอ่ยชื่อของคนที่นึกถึงออกมาจนกว่าจะปอกเปลือกแอปเปิ้ลได้หมดผล และเชื่อกันว่า คนที่จะได้แต่งงานด้วยนั้นคือคนที่เอ่ยชื่อถึงในขณะที่ปอกเปลือกของแอปเปิ้ล ได้หมดพอดี </div>ผู้หญิงลัลลาhttp://www.blogger.com/profile/15460925113498998808noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5503277346678724732.post-809420044842647702011-02-16T23:35:00.003-08:002011-02-16T23:35:28.115-08:00<span style="color: blue;"><strong>ประวัติความเป็นมา</strong></span><br />
วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูใน<br />
ราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า"คุรุสภา" ซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคล<br />
และให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็น<br />
ในเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ จัดสวสัดิการให้แก่ครูและครอบครัว <br />
ได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู <br />
ด้วยเหตุนี้ในทุกๆปี คุรุสภาจึงจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศ<br />
แถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งซักถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆเกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภา โดยมี <br />
คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัย สถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุม"สามัคคยาจารย์"<br />
หอประชุมของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ในระยะหลังจึงมาใช้หอประชุมของคุรุสภา <br />
ปี พ.ศ. 2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการ<br />
อำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวปราศัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า "ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจาก<br />
ผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่า"วันครู"ควรมีสักวันหนึ่งสำหรับให้บรรดา<br />
ลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพสักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับคนทั่วไป<br />
ถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือ<br />
ครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ<br />
ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง"<br />
จากแนวความคิดนี้ กอรปกับคว่ทคอดเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่นๆที่ล้วนเรียกร้องให้มี"วันครู"<br />
เพื่อให้เป็นการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่แประโยชน์ของชาติ <br />
และประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มี <br />
"วันครู" เพื่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอในหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณ<br />
บูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครู และเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอีนดีระหว่างครูกับประชาชน<br />
ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2499 ให้วันที่ 16 มกราคม ของทุกปีเป็น"วันครู"<br />
โดยถือเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2488 เป็นวันครู<br />
และให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้<br />
การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2500 ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติ<br />
เป็นที่จัดงาน งานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้ให้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ<br />
หนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ<br />
การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลา ในปัจจุบัน<br />
ได้จัดรูปแบบการจัดงานวันครูจะมีกิจกรรม 3 ประเภทใหญ่ดังนี้<br />
<span style="color: #ff00cc;">1.กิจกรรมทางศาสนา<br />
2.พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์<br />
3.กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู สา่วนมากจะเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริง</span><br />
ปัจจุบันการจัดงานวันครู ได้กำหนดให้จัดพร้อมกันทั่วประเทศ สำหรับส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภา โดยมี<br />
คณะกรรมการจัดงานวันครูซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ประกอบด้วยบุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด<br />
สำหรับส่วนภูมิภาคให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกันกับส่วนกลาง<br />
จะรวมกันจัดที่จังหวัดหรือแต่ละอำเภอก็ได้<br />
รูปแบบการจัดงานในส่วนกลาง(หอประชุมคุรุสภา) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ<br />
ประธานอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการจัดงานวันครู พร้อมด้วยครูอาจารย์<br />
และประชาชนร่วมกันทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 1,000 รูป หลังจากนั้นทุกคนที่มาร่วมงานจะเข้าร่วมพิธี<br />
ในหอประชุมคุรุสภา นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานในงาน ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ นายกรัฐมนตรี<br />
จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ประธานฝ่ายสงฆ์ให้ศีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงาน<br />
ต่อนายกรัฐมนตรี เสร็จแล้วพิธีบูชาบูรพาจารย์โดยครู"อาวุโส"นอกประจำการจะเป็นผู้กล่าวนำพิธีสวดคำฉันท์รำลึก<br />
ถึงพระคุณบูรพาจารย์ ดังนี้<br />
ปาเจราจริยา โหนติ คุณุตตรานุสาสกา<br />
(วสันตดิลกฉันท์) ประพันธ์ โดยพระวรเวทย์พิสิฐ(วรเวทย์ ศิวะศรียานนท์)<br />
<div align="center"></div><br />
<table align="center" style="width: 700px;"><tbody>
<tr bgcolor="#f7f7f7"><td><div align="left"><span style="color: blue;"> ข้าขอประนมกรกระพุ่ม</span></div></td><td><div align="left"><span style="color: blue;">อภิวาทนาการ</span></div></td></tr>
<tr bgcolor="#f7f7f7"><td><div align="left"><span style="color: blue;"> กราบคุณอดุลคุรุประทาน</span></div></td><td><div align="left"><span style="color: blue;">หิตเทิดทวีสรร</span></div></td></tr>
<tr bgcolor="#f7f7f7"><td><div align="left"><span style="color: blue;"> สิ่งสมอุดมคติประพฤติ</span></div></td><td><div align="left"><span style="color: blue;">นรยึดประคองธรรม์</span></div></td></tr>
<tr bgcolor="#f7f7f7"><td><div align="left"><span style="color: blue;"> ครูชี้วิถีทุษอนันต์</span></div></td><td><div align="left"><span style="color: blue;">อนุสาสน์ประภาษสอน</span></div></td></tr>
<tr bgcolor="#f7f7f7"><td><div align="left"><span style="color: blue;"> ให้เรืองและเปรื่องปริวิชาน</span></div></td><td><div align="left"><span style="color: blue;">นะตระการสถาพร</span></div></td></tr>
<tr bgcolor="#f7f7f7"><td><div align="left"><span style="color: blue;"> ท่านแจ้งแสดงนิติบวร</span></div></td><td><div align="left"><span style="color: blue;">ดนุยลอุบลสาร</span></div></td></tr>
<tr bgcolor="#f7f7f7"><td><div align="left"><span style="color: blue;"> โอบเอื้อและเจือคุณวิจิตร</span></div></td><td><div align="left"><span style="color: blue;">ทะนุศิษย์นิรันดร์กาล</span></div></td></tr>
<tr bgcolor="#f7f7f7"><td><div align="left"><span style="color: blue;"> ไป่เบื่อก็เพื่อดรุณชาญ</span></div></td><td><div align="left"><span style="color: blue;">ลุฉลาดประสาทสรรพ์</span></div></td></tr>
<tr bgcolor="#f7f7f7"><td><div align="left"><span style="color: blue;"> บาปบุญก็สุนทรแถลง</span></div></td><td><div align="left"><span style="color: blue;">ธุระแจงประจักษ์แจ้งครัน</span></div></td></tr>
<tr bgcolor="#f7f7f7"><td><div align="left"><span style="color: blue;"> เพื่อศิษย์สฤษดิ์คติจรัล</span></div></td><td><div align="left"><span style="color: blue;">มนเทิดผดุงธรรม</span></div></td></tr>
<tr bgcolor="#f7f7f7"><td><div align="left"><span style="color: blue;"> ปวงข้าประดานิกรศิษย์</span></div></td><td><div align="left"><span style="color: blue;">(ษ)ยะคิดระลึกคำ</span></div></td></tr>
<tr bgcolor="#f7f7f7"><td><div align="left"><span style="color: blue;"> ด้วยสัตย์สะพัดกมลนำ</span></div></td><td><div align="left"><span style="color: blue;">อนุสรณ์เผดียงคุณ</span></div></td></tr>
<tr bgcolor="#f7f7f7"><td><div align="left"><span style="color: blue;"> โปรดอวยสุพิธพรเอนก</span></div></td><td><div align="left"><span style="color: blue;">อดิเรกเพราะแรงบุญ</span></div></td></tr>
<tr bgcolor="#f7f7f7"><td><div align="left"><span style="color: blue;"> ส่งเสริมเฉลิมพหุลสุน</span></div></td><td><div align="left"><span style="color: blue;">ทรศิษย์เสมอเทอญ ฯ</span></div></td></tr>
</tbody></table><br />
<div align="left"> ปัญญาวุฒิกเรเตเต ทินโนวาเท นมามิหัง<br />
จากนั้นประธานจัดงานวันครู จะเชิญผู้ร่วมประชุมยืนสงบนิ่ง 1 นาที เพื่อระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว <br />
ครูอาวุโสประจำการนำผู้เข้าร่วมประชุมกล่าวคำปฏิญาณดังนี้<br />
ข้อ 1.ข้าฯจะบำเพ็ญตนให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครู <br />
ข้อ 2.ข้าฯจะตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติ<br />
ข้อ 3.ข้าฯจะรักษาชื่อเสียงของคณะครูและบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม<br />
จบแล้วพระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลครูดีเด่นประจำปี มอบของที่ระลึกให้ครูอาวุโสนอกและใน<br />
ประจำการสุดท้ายกล่าวคำปราศัยและให้โอวาทแก่ครูที่มาประชุม<br />
<span style="color: blue;"><strong>จรรยามารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครู<br />
</strong></span> 1.เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ<br />
2.ยึดมั่นในศาสนาที่ตนนับถือ ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอื่น<br />
3.ตั้งใจสั่งสอนศิษย์และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เกิดผลดีด้วยความเอาใจใส่ อุทิศเวลาของตนให้แก่ศิษย์ จะละทิ้งหรือทอดทิ้ง<br />
หน้าที่การงานไม่ได้<br />
4.รักษาชื่อเสียงของตนมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ห้ามประพฤติการใดๆอันอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียงของครู<br />
5.ถือปฏิบัติตามกฎระเบียบและแบบธรรมเนียมอันดีงามของสถานศึกษา และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา<br />
ซึ่งสั่งในหน้าที่การงานโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผนของสถานศึกษา<br />
6.ถ่ายทอดวิชาความรู้โดยไม่บิดเบือนและปิดบังอำพราง ไม่นำหรือยอมให้นำผลงานทางวิชาการของตนไปใช้ในทางทุจริต<br />
หรือเป็นภัยต่อมนุษย์ชาติ<br />
7.ให้เกียรติแก่ผู้อื่นทางวิชาการโดยไม่นำผลงานของผู้ใดมาแอบอ้างเป็นผลงานของตน และไม่เบียดบังใช้แรงงานหรือนำ<br />
ผลงานของผู้อื่นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตน<br />
8.ประพฤติตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเที่ยงธรรม ไม่แสวงหาประโยชน์สำหรับตนเอง<br />
หรือผู้อื่นโดยมิชอบ<br />
9.สุภาพเรียบร้อยประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ รักษาความลับของศิษย์ ของผู้ร่วมงานและสถานศึกษา<br />
10.รักษาความสามัคคีระหว่างครูและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหน้าที่การงาน<br />
.............................................</div><br />
<table align="center" border="1" bordercolor="#ff0000" style="width: 856px;"><tbody>
<tr><td bgcolor="#ffffcc" bordercolor="#ff6600" height="180" width="848"><div align="center"><br />
</div><div align="center"><span style="color: blue; font-size: small;"><strong>พระราชดำรัส</strong></span></div><div align="justify"> "ถ้าครูไม่ห่วงประโยชน์ที่ควรจะห่วง หันไปห่วงอำนาจ ห่วงตำแหน่ง ห่วงสิทธิ์ และห่วงรายได้กันมากเข้าๆ<br />
แล้วจะเอาจิตใจที่ไหนมาห่วงความรู้ ความดี ความเจริญของเด็ก ความห่วงใยในสิ่งเหล่านั้นก็จะค่อยๆบั่นทอนทำลาย<br />
ความเป็นครูไปจนหมดสิ้นจะไม่มีอะไรดีเหลือไว้ พอที่ตัวเองจะภาคภูมิใจหรือผูกใจใครไว้ได้ ความเป็นครูก็จะไม่มี<br />
ี ค่าเหลืออยู่ให้เป็นที่ เคารพบูชาอีกต่อไป"<br />
</div><div align="center"> พระราชทานแก่ครูอาวุโสในโอกาสเข้าเฝ้าฯ<br />
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน<br />
วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2521</div></td></tr>
</tbody></table>ผู้หญิงลัลลาhttp://www.blogger.com/profile/15460925113498998808noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5503277346678724732.post-616975189267339252011-02-16T23:34:00.002-08:002011-02-16T23:34:45.261-08:00<strong><span style="font-family: Arial; font-size: large;">ประวัติวันปีใหม่</span></strong><br />
<div align="right" class="text7">Your Vote Rating <span style="color: #054f9b; font-family: Arial; font-size: medium;"><b>8.6</b></span> from 122 users<br />
<span class="text18">จำนวนผู้เข้าชม 29868 ครั้ง<br />
<a class="style13" href="http://www.jabchai.com/main/viewjoke_commentall.php?id=1151&page=1" target="_blank"><span style="color: #999999; font-size: x-small;">See All Comments </span></a></span></div><br />
<br />
<center><span style="color: #999999; font-size: x-small;"></span></center><br />
<center><span style="color: #999999; font-size: x-small;"></span></center><br />
<!--start detail topic---><br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="10" style="border-bottom: #224a6d 1px dotted; border-left: #224a6d 1px dotted; border-right: #224a6d 1px dotted; border-top: #224a6d 1px dotted; width: 500px;"><tbody>
<tr><td class="text7"><!---Pic DET Start---><br />
<center><span style="color: #999999; font-size: x-small;"><img border="0" src="http://122.155.0.199/jabchai/images_joke/1151/1151-1.jpg" style="border-bottom: #e6e1e1 1px dotted; border-left: #e6e1e1 1px dotted; border-right: #e6e1e1 1px dotted; border-top: #e6e1e1 1px dotted;" /></span><a href="http://www.chosen.co.th/dino/" target="_blank"><span style="color: #0099ff;">Dino-Lite กล้องจุลทรรศน์พกพา รางวัลยอดเยี่ยมโลก</span></a><br />
<br />
</center><br />
<dd><span style="color: #000066;">ตามจารีตประเพณีของไทยแต่โบราณ ถือเอาวันแรมหนึ่งค่ำ เดือนอ้าย (เดือนหนึ่ง) เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับคติทางพระพุทธศาสนา ที่เริ่มฤดูหนาว (เหมันต์) เป็นจุดเริ่มต้นของปีต่อมา จารีตดังกล่าวได้แปรเปลี่ยนไปตามคติของพราหมณ์ ซึ่งใช้วันขึ้นหนึ่งค่ำเดือนห้าเป็นวันขึ้นปีใหม่ ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดเป็นการนับวัน เดือน ปี แบบจันทรคติ คือการใช้การโคจรของดวงจันทร์เป็นเกณฑ์ <br />
</span></dd><dd><span style="color: #000066;">ต่อมาเมื่อทางราชการเปลี่ยนมาใช้แบบสุริยคติ คือใช้ดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์ จึงได้ถือเอา วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ เริ่มใช้เมื่อปี พ.ศ. 2432 <br />
</span></dd><dd><span style="color: #000066;">วันขึ้นปีใหม่ของนานาอารยประเทศ ใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งเป็นการนับตามสุริยคติ เมื่อประเทศไทยซึ่งเดิมใช้วันแรมหนึ่งค่ำ เดือนอ้าย ของไทย เป็นวันขึ้นปีใหม่ นับว่าเป็นห้วงระยะเวลาใกล้เคียง กับวันที่ 1 มกราคม จึงเห็นว่าการที่ใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยเป็นการเหมาะสมดังนี้ <br />
</span></dd><dd><span style="color: #000066;">ตามทางดาราศาสตร์ การกำหนดอาศัยหลัก 2 ประการ คือ ใช้หลักวันที่ดวงอาทิตย์ อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุด ซึ่งจะตกประะมาณ วันที่ 22 ธันวาคม อีกประการหนึ่งใช้หลักวันที่ดวงอาทิตย์ อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากที่สุด ซึ่งจะตกประมาณวันที่ 20 มีนาคม ประเทศไทยเคยใช้หลักประการแรกมาก่อน คือใช้เดือนอ้าย แรมหนึ่งค่ำ ซึ่งใกล้เคียงกับวันที่ 22 ธันวาคม <br />
</span></dd><dd><span style="color: #000066;">พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ได้ทรงอธิบายไว้เป็นใจความว่า ฤดูหนาวเป็นเวลาที่พ้นจากมืดฝน สว่างขึ้นเหมือนเวลาเช้า โบราณจึงถือเป็นต้นปี ฤดูร้อนเป็นเวลาสว่างเต็มที่เหมือนเวลากลางวัน โบราณจึงถือเป็นกลางปี ส่วนฤดูฝนเป็นห้วงเวลาที่มืดครื้ม เหมือนกลางคืน โบราณจึงถือเป็นปลายปี จึงได้เริ่มเดือนหนึ่งที่เดือนอ้าย และไทยโบราณถือการเริ่มข้างแรมเป็นต้นเดือน <br />
</span></dd><dd><span style="color: #000066;">มีผู้ค้นพบว่า คติที่นับวันใดวันหนึ่งในห้วงระยะเวลาระหว่างวันที่ 21 เดือนธันวาคม ถึงวันที่ 1 เดือนมกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่นี้ เป็นคติเก่าแก่ของชนชาติที่อยู่ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ หรือสุวรรณภูมิ ด้วยเหตุผลที่พออธิบายได้ว่าในระยะเวลาดังกล่าวนี้ เป็นเวลาที่แลเห็นดวงอาทิตย์มีขนาดโตที่สุด และเป็นเวลาที่อากาศเริ่มเย็นสบาย หลังจากที่หมดฤดูฝนแล้ว ประเทศไทยเราอยู่ในย่านกลางของพื้นที่ดังกล่าว จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชาติไทยเราได้มีวันขึ้นปีใหม่ตามคติดังกล่าวมาแต่โบราณกาล <br />
</span></dd><dd><span style="color: #000066;">จากการตรวจสอบในห้วงระยะเวลา 30 ปี จากปี พ.ศ. 2453 ถึงปี พ.ศ. 2483 พบว่าวันแรมหนึ่งค่ำ เดือนอ้าย เมื่อเทียบกับวันทางสุริยคติแล้วจะอยู่ในเดือนธันวาคม และส่วนใหญ่จะอยู่ห่างจากวันที่ 1 มกราคม ไม่เกิน 10 วัน ห่างกันมากที่สุด 30 วัน และห่างน้อยที่สุดเพียง 2 วัน เท่านั้น <br />
</span></dd><dd><span style="color: #000066;">อินเดียในสมัยโบราณก็ได้เคยใช้วันที่ 1 เดือนมกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่มาแล้ว เรียกว่ามกรสงกรานต์ การที่อินเดียในยุคต่อมาใช้เดือนจิตรมาส หรือเดือนเมษายน เป็นต้นปีนั้น มีที่มาจากฝ่ายเหนือของอินเดีย เพราะในพื้นที่บริเวณดังกล่าว เดือนเมษายนเป็นเดือนที่ลมฟ้าอากาศดีที่สุด มติได้แผ่เข้ามายังชนชาวไทย โดยพราหมณ์นำเข้ามาอิทธิพลของลัทธิพราหมณ์ในครั้งนั้น สูงมากพอจนทำให้ไทยเราหันไปใช้ตามแบบ พราหมณ์ในหลาย ๆ เรื่อง รวมทั้งวันขึ้นปีใหม่ด้วย โดยนับเดือนห้าเป็นต้นปี ทำให้เราต้องขึ้นปีใหม่ 2 ครั้ง คือขึ้นหนึ่งค่ำ เดือนห้า และวันสงกรานต์ ซึ่งจะเลื่อนไปมาในแต่ละปีไม่แน่นอน <br />
</span></dd><dd><span style="color: #000066;">พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ทรงเห็นความลำบากในกรณีดังกล่าว เมื่อไทยต้องมีการติดต่อกับ ต่างประเทศมากขึ้น ดังนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2432 วันขึ้นหนึ่งค่ำ เดือนห้า ไปตรงกับวันที่ 1 เดือนเมษายน พอดี จึงได้มีประกาศบรมราชโองการ ให้ถือวันที่ 1 เดือนเมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยตั้งแต่นั้นมา <br />
</span></dd><dd><span style="color: #000066;">ประเทศไทยได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่มาเป็นวันที่ 1 เดือนมกราคม เมื่อปี พ.ศ. 2484 ด้วยเหตุผลทั้งมวลที่ได้กล่าวมาแล้ว และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ บรรดานานาประเทศ ได้ใช้วันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ ทำให้สมประโยชน์แก่ประเทศไทยด้วยประการทั้งปวง </span></dd><dd><span style="color: #000066;"></span> </dd><dd><span style="color: #000066;"><strong><span style="color: red;">ความหมาย</span></strong><span style="color: black;">ความหมายของวันขึ้นปีใหม่ ตามพจนานุกรม ฉบับราชตบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า " ปี" ไว้ดังนี้ ปี หมายถึง เวลา ชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน : เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ <br />
<br />
</span><b><span style="color: red;">ความเป็นมา</span><br />
<span style="color: black;">ในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน <br />
<br />
การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา <br />
<br />
อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นในกรุงเทพฯเป็นครั้งแรก<br />
<img align="right" border="0" hspace="4" src="http://campus.sanook.com/story_picture/b/01394_003.jpg" vspace="4" /><br />
<br />
การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆ มา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการจัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์<br />
<br />
<b>ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการเป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป</b><br />
</span><span style="color: red;">เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ </span><br />
<span style="color: black;">1. ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ <br />
2. เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา <br />
3. ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก <br />
4. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย <br />
<br />
</span><span style="color: red;">กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่ </span><br />
<span style="color: black;">1. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ <br />
2. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร <br />
3. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ <br />
<br />
วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น<br />
<br />
</span><b><span style="color: red;">กิจกรรม</span><br />
<span style="color: black;">วันที่ 1 มกราคมของทุกปี จะมีการทำบุญตักบาตรและอุทิศส่วนกุศลผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ฟังเทศน์ ปล่อยปลา ปล่อยนก อวยพรซึ่งกันและกัน หรืออาจจะส่งการ์ดบัตรอวยพร ของขัวญไหว้ผู้ใหญ่เพื่อรับพร และสรงน้ำพระพุทธรูป ประดับธงชาติ และจะเตรียมทำความสะอาดบ้าน และที่พักอาศัย </span></b></b></span></dd></td></tr>
</tbody></table>ผู้หญิงลัลลาhttp://www.blogger.com/profile/15460925113498998808noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5503277346678724732.post-56558281770354030112011-02-16T23:34:00.000-08:002011-02-16T23:34:03.030-08:00<strong>ตำนานวันคริสต์มาส<br />
</strong> คำว่า <strong>"คริสต์มาส"</strong> เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า <strong>Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า"</strong> ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas<br />
<br />
<span style="color: purple;">เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ </span>โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร<br />
<br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; text-align: center;"> </div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://www.blogger.com/img_cms2/varity/shutterstock_57146287.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="" border="0" height="537" src="http://www.blogger.com/img_cms2/varity/shutterstock_57146287.jpg" style="height: 537px; width: 400px;" width="400" /></a></div><div align="center" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; text-align: left;"><br />
ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย<br />
<br />
<span style="color: purple;">เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ <strong>"พระเยซู"</strong> ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม</span><br />
<br />
<strong><span style="background-color: yellow;"><img alt="" border="0" height="50" src="http://www.blogger.com/img_cms/dookdik/093005671.gif" width="50" />องค์ประกอบในงานคริสต์มาส</span></strong><br />
<br />
<strong><span style="color: blue;"><span style="background-color: #fedcba;"><img alt="" border="0" height="28" src="http://www.blogger.com/img_cms/dookdik/ann76_2.gif" width="19" /> ซานตาครอส</span></span></strong></div><div style="text-align: center;"> <img alt="" border="0" src="http://www.blogger.com/img_cms2/varity/christmas7.jpg" /></div><div align="center" style="text-align: left;"><br />
<br />
<span style="color: maroon;">เป็นสิ่งแรกๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาครอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี</span><br />
นักบุญนิโคลัส นั้นเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม เอาไว้ ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลัสก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา<br />
<br />
ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง<br />
<br />
<strong><span style="color: blue;"><span style="background-color: yellow;"><span style="background-color: #fedcba;"><img alt="" border="0" height="28" src="http://www.blogger.com/img_cms/dookdik/ann76_2.gif" width="19" /> ถุงเท้า</span></span></span></strong><strong><span style="color: blue;"><br />
</span></strong></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: blue;"><img alt="" border="0" src="http://www.blogger.com/img_cms2/varity/christmas6.jpg" /></span></strong></div><div style="text-align: center;"><strong> </strong> </div><div align="center" style="text-align: left;"><strong><span style="color: blue;"><br />
</span></strong><br />
จากที่นักบุญนิโคลัสได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟของบ้านเด็กหญิงยากจน เพื่อที่จะมอบเหรียญเงินให้เป็นของขวัญ แต่เหรียญนั้นกลับตกไปอยู่ในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้หน้าเตาผิง พอรุ่งเช้าเด็กหญิงตื่นมาเจอเหรียญเงินในถุงเท้าจึงดีใจมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ผู้คนมากมายต่างพากันแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ เพื่อหวังจะได้รับของขวัญเช่นเดียวกันบ้าง<br />
<br />
<span style="background-color: #fedcba;"><strong><span style="color: blue;"><span style="background-color: yellow;"><img alt="" border="0" height="28" src="http://www.blogger.com/img_cms/dookdik/ann76_2.gif" width="19" /> ต้นคริสต์มาส</span></span></strong></span></div><div style="text-align: center;"> <img alt="" border="0" src="http://www.blogger.com/img_cms2/varity/christmas5.jpg" /></div><div style="text-align: left;"><br />
<br />
<span style="color: maroon;"> นอกจากนี้อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิ้ลและขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท และก็ได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลากสีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก</span><br />
โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย<br />
<br />
ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส<br />
<br />
<span style="color: blue;"><strong><span style="background-color: yellow;"><span style="background-color: #fedcba;"><img alt="" border="0" height="28" src="http://www.blogger.com/img_cms/dookdik/ann76_2.gif" width="19" /> ต้นฮอลลี่</span></span></strong></span><strong><br />
</strong><div style="text-align: center;"><strong><img alt="" border="0" src="http://www.blogger.com/img_cms2/varity/christmas1.jpg" /></strong> </div><span style="color: blue;"><div style="text-align: left;"><br />
<strong> </strong><span style="color: black;"><strong>ต้นฮอลลี่ เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส</strong> เชื่อกันว่า สีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึง การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีความสัมพันธ์กับพระเยซู โดยผลสีแดงของต้นฮอลลี่นั้นหมายถึงหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้า ใบไม้ที่มีหนามของต้นฮอลลี่เป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฏหนามที่พวกชาวทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์</span><br />
<br />
<span style="color: blue;"><strong><span style="background-color: #fedcba;"><span style="background-color: yellow;"><img alt="" border="0" height="28" src="http://www.blogger.com/img_cms/dookdik/ann76_2.gif" width="19" /> ดอกไม้คริสต์มาส หรือ Poinsettia</span></span></strong></span><strong><br />
</strong><div style="text-align: center;"><strong><img alt="" border="0" src="http://www.blogger.com/img_cms2/varity/christmas11.jpg" /></strong> </div><span style="color: blue;"><div style="text-align: left;"><br />
<br />
<strong> </strong> <span style="color: black;">ตำนานของดอก Poinsettia ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวันคริสต์มาส มาจากเรื่องราวของเด็กหญิงจนๆ คนหนึ่ง ที่ต้องการหาของขวัญไปมอบให้พระแม่มารีในวันคริสต์มาสอีฟ แต่เนื่องจากเธอไม่มีสิ่งของใดๆ ติดตัว จึงเดินทางไปตัวเปล่า และระหว่างทางเธอได้พบกับนางฟ้าที่บอกให้เธอเก็บเมล็ดพืชไว้ ต่อมาเมล็ดพืชนั้นกลับเจริญเติบโตเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีเลือดหมูสดใส ซึ่งก็คือดอก Poinsettia ตั้งแต่นั้นดอก Poinsettia ก็ได้รับความนิยมใช้ประดับประดาบ้านในงานคริสต์มาส</span><br />
<span style="color: blue;"><strong><span style="background-color: yellow;"><span style="background-color: #fedcba;"><img alt="" border="0" height="28" src="http://www.blogger.com/img_cms/dookdik/ann76_2.gif" width="19" /> ดอกคริสต์มาส Christmas Rose<br />
</span></span></strong></span> <span style="color: black;">มีต้นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ลักษณะเป็นดอกสีขาว และมักออกดอกในช่วงฤดูหนาว ตำนานของดอกคริสต์มาสนี้มีอยู่ว่า ในช่วงที่พระเยซูประสูติ มีผู้รอบรู้ 3 คน กับคนเลี้ยงแกะเดินทางมาพบพระเยซู ระหว่างทางพวกเขาพบกับ มาเดลอน เด็กหญิงที่เลี้ยงแกะคนหนึ่ง เมื่อเธอทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาเพื่อมอบของขวัญให้พระเยซู มาเดลอนก็เสียใจที่ไม่มีของขวัญใดไปมอบให้พระเยซูบ้าง ก่อนที่นางฟ้าที่เฝ้ามองเธออยู่จะเกิดความเห็นใจจึงร่ายมนตร์เสกดอกไม้สีขาวน่ารักและมีสีชมพูอยู่ตรงปลายกลีบให้เธอ และดอกไม้นั้นคือ ดอกคริสต์มาสนั่นเอง</span><br style="color: black;" /><div style="text-align: left;"><br />
<strong><span style="background-color: yellow;"><span style="background-color: #fedcba;"><span style="color: blue;"><img alt="" border="0" height="28" src="http://www.blogger.com/img_cms/dookdik/ann76_2.gif" width="19" /> เพลงวันคริสต์มาส</span></span></span></strong> <span style="color: black;"> เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 แต่งโดยพระสงฆ์และฆราวาส มีเนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่<br />
<br />
เพลงคริสตมาสแบบใหม่นี้ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน เพราะมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดีในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night<br />
<br />
ความเป็นมาของเพลงนี้มาจากวันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้องไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปให้เพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั่นเอง และเล่นเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก<br />
</span><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: blue;"><img alt="" border="0" src="http://www.blogger.com/img_cms2/varity/christmas8.jpg" /></span></strong></div><br />
<strong><span style="color: blue;"><span style="background-color: yellow;"><span style="background-color: #fedcba;"><img alt="" border="0" height="28" src="http://www.blogger.com/img_cms/dookdik/ann76_2.gif" width="19" /> คำอวยพรวันคริสต์มาส</span></span></span><br />
</strong> <span style="color: maroon;"><span style="color: black;">ในวันคริสต์มาสเรามักจะใช้คำอวยพรให้แก่กันและกันว่า <strong>Merry X'mas</strong> คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า <strong>"สันติสุขและความสงบทางใจ"</strong> คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ และได้จัดให้มีการฉลองเพื่อระลึกถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศ ประเพณีนี้ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษที่ 4 และค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป</span></span><br />
<strong><span style="color: blue;"><span style="background-color: yellow;"><span style="background-color: #fedcba;"><img alt="" border="0" height="28" src="http://www.blogger.com/img_cms/dookdik/ann76_2.gif" width="19" /> สีประจำวันคริสต์มาส</span></span></span></strong><strong><br />
</strong><span style="color: black;"><strong>สีที่เกี่ยวข้องในวันคริสต์มาสประกอบด้วย<br />
</strong> <span style="color: navy;"><strong>สีแดง :</strong></span> เป็นสีของผลฮอลลี่ หรือซานตาครอส เป็นสีของเดือนธันวาคม ที่แสดงถึงความตื่นเต้น และหากเป็นสัญลักษณ์ตามศาสนา สีแดงจะหมายถึง ไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี<br />
<br />
<strong><span style="color: navy;">สีเขียว :</span></strong> เป็นสีของต้นไม้ สัญลักษณ์ของธรรมชาตื หมายถึงความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง<br />
<br />
<strong><span style="color: navy;">สีขาว :</span></strong> เป็นสีของหิมะ และเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา คือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง สีขาวนี้จะปรากฎบนเสื้อคลุมนางฟ้า, เคราและชายเสื้อของซานตาครอส<br />
<br />
<strong><span style="color: navy;">สีทอง :</span></strong> เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว</span><br />
<br />
<strong><span style="background-color: yellow;"><span style="color: blue;"><span style="background-color: #fedcba;"><img alt="" border="0" height="28" src="http://www.blogger.com/img_cms/dookdik/ann76_2.gif" width="19" /> การทำมิสซาเที่ยงคืน</span></span></span></strong> <span style="color: black;"> การถวายมิสซานี้เกิดขึ้นหลังจากพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) ในปีนั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ เมื่อไปถึงตรงกับเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเดินทางกลับมาที่พักได้เวลาตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ยังมีสัตบุรุษหลายคนไม่ได้ร่วมขบวนไปด้วยในตอนแรก พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ในโอกาสวันคริสต์มาส</span><br />
<span style="color: blue;"><strong><span style="background-color: yellow;"><span style="background-color: #fedcba;"><img alt="" border="0" height="28" src="http://www.blogger.com/img_cms/dookdik/ann76_2.gif" width="19" /> เทียนและพวงมาลัย</span></span></strong><div style="text-align: left;"><br />
<span style="color: black;">พวงมาลัยนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่คนสมัยก่อนใช้หมายถึงชัยชนะ แต่สำหรับการแขวนพวงมาลัยในวันคริสต์มาสนั้น หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า ซึ่งธรรมเนียมนี้ เกิดจากกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมันได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเพื่อเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะจุดเทียนหนึ่งเล่ม สวดภาวนา และร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกันเป็นเวลา 4 อาทิตย์ก่อนถึงวันคริสต์มาส ประเพณีเป็นที่นิยมอยางมากในประเทศอเมริกา ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยนำเทียน 1 เล่มนั้นมาจุดไว้ตรงกลางพวงมาลัยสีเขียว และนำไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อเป็นการเตือนให้คนที่เดินผ่านไปมาได้รู้ว่าใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว ส่วนเหตุผลที่พวงมาลัยมีสีเขียวนั้น เป็นเพราะมีการเชื่อกันว่าสีเขียวจะช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพวกพลังอันชั่ว ร้ายได้</span><br />
<br />
<span style="color: blue;"><strong><span style="background-color: yellow;"><span style="background-color: #fedcba;"><img alt="" border="0" height="28" src="http://www.blogger.com/img_cms/dookdik/ann76_2.gif" width="19" /> ระฆังวันคริสต์มาส</span></span><br />
</strong></span></div></span></div></div></span></div></span></div><div style="text-align: left;"> เสียงระฆังในวันคริสต์มาสคือการเฉลิมฉลองให้กับการประสูติของพระพุทธเจ้า โดยมีตำนานเล่าว่า มีการตีระฆังช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสเพื่อลดพลังความมืด และบ่งบอกถึงความตายของปีศาจ ก่อนที่พระเยซูผู้ที่จะมาช่วยไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น และระฆังนี้มีเสียงดังกังวาลนานนับชั่วโมง ก่อนที่ในเวลาเที่ยงคืนเสียงระฆังนี้จะกลับกลายมาเป็นเสียงแห่งความสุข<br />
<br />
<span style="background-color: yellow;"><span style="background-color: #fedcba;"><strong><span style="color: blue;"><img alt="" border="0" height="28" src="http://www.blogger.com/img_cms/dookdik/ann76_2.gif" width="19" /> ดาว</span></strong></span></span><br />
<div style="text-align: center;"><img alt="" border="0" src="http://www.blogger.com/img_cms2/varity/christmas9.jpg" /></div><br />
ดาว ในความหมายของชาวคริสต์เตียน หมายถึงการแสดงออกที่ดีของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า <strong>"The bright and morning star"</strong> มีความหมายพิเศษเหมือนกับว่า ดวงดาวเหล่านั้นได้แบ่งที่อยู่กับสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะมีกำแพงอะไรขวางกั้นระหว่างพื้นผิวโลกด้วยก็ตาม<br />
<br />
<span style="background-color: yellow;"><span style="background-color: #fedcba;"><strong><span style="color: blue;"><img alt="" border="0" height="28" src="http://www.blogger.com/img_cms/dookdik/ann76_2.gif" width="19" /> เครื่องประดับและแอปเปิ้ล</span></strong></span></span><br />
<br />
<div style="text-align: center;"> <img alt="" border="0" src="http://www.blogger.com/img_cms2/varity/christmas5_1.jpg" /></div><br />
ในบางแห่งเชื่อว่า ลำต้นของแอปเปิ้ล มองดูคล้ายกับต้นไม้ในสรวงสวรรค์ จึงมีการนำเอาแอปเปิ้ลมาประดับตามต้นไม้ในวันคริสต์มาส ส่วนเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่ตกแต่งต้นคริสต์มาสนั้นเป็นงานศิลปะที่จำลองจากผลไม้ และที่มีสีสันสดใสนั้นเพื่อให้เกิดความรื่นเริงในบ้าน อีกทั้งแสงระยิบระยับที่สะท้อนไปมา ยังดูสวยงามคล้ายแสงเทียนและแสงไฟ<br />
<br />
<strong><span style="color: blue;"><span style="background-color: yellow;"><span style="background-color: #fedcba;"><img alt="" border="0" height="28" src="http://www.blogger.com/img_cms/dookdik/ann76_2.gif" width="19" /> ของขวัญวันคริสต์มาส<br />
</span></span></span></strong><div style="text-align: center;"><span style="color: blue;"><span style="color: blue;"><span style="color: blue;"><span style="color: blue;"><span style="color: maroon;"><span style="color: black;"><strong><img alt="" border="0" src="http://www.blogger.com/img_cms2/varity/christmas2.jpg" /></strong></span></span></span></span></span></span></div><div style="text-align: center;"><strong><span style="color: blue;"> </span></strong></div> การแลกเปลี่ยนของขวัญในวันคริสต์มาสนั้น เริ่มต้นจากเมือง Saturnalia ในช่วงยุคโรมัน ต่อมาชาวคริสต์รับประเพณีนี้เข้ามา ด้วยความเชื่อว่า การให้ของขวัญนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับของขวัญประเภททอง, ยางสนที่มีกลิ่นหอม และ ยางไม้หอม ซึ่งพวกนักเวทย์จากตะวันออกที่เดินทางมาคารวะพระเยซูคริสต์ นำมาให้ตอนที่ท่านประสูติ<br />
<br />
<strong><span style="color: maroon;"> ทั้งหมดนั้นก็คือการเฉลิมฉลองให้กับพระเยซู ที่เกิดมาเพื่อชำระบาปให้แก่ชาวคริสต์ทั้งหลาย และเป็นเทศกาลที่นำความสุข สนุกสนาน มาสู่หมู่มวลมนุษย์</span></strong> </div><div style="text-align: left;"><br />
</div><div style="text-align: left;"><br />
<div align="left"><span style="color: #ac2b2b;"><span style="color: purple;"><img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/2862-emoticon-7702.gif" /></span></span><strong> </strong><a href="http://newyear.kapook.com/" style="font-weight: bold;" target="_blank">ประวัติวัน คริสต์มาส วันปีใหม่ กลอนปีใหม่ การ์ดปีใหม่ การ์ดคริสต์มาส ของขวัญปีใหม่ อวยพรปีใหม่ คำอวยพรวันคริสต์มาส ฟัง เพลงวันคริสต์มาส เพลงปีใหม่ Glitter การ์ตูน Dookdik น่ารัก ๆ มากมาย คลิกที่นี่เลยค่ะ</a></div></div>ผู้หญิงลัลลาhttp://www.blogger.com/profile/15460925113498998808noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5503277346678724732.post-2109464868011616492011-01-19T23:41:00.000-08:002011-01-19T23:41:23.030-08:00ประวัติดงบังชิงกิ<h3>2007/May/11</h3><div class="entry"><div class="entrytitle"><a href="http://hopeless.exteen.com/20070511/tvxq-dong-bang-shin-ki-dbsk"><strong><span style="color: #339900;">ประวัติ TVXQ (Dong Bang Shin Ki, DBSK)</span></strong></a> </div><div class="entrycontent"><span style="font-family: MS Sans Serif;"><strong><span style="color: #ff3399;">TVXQ (Dong Bang Shin Ki, DBSK) พวกเขาเป็นใคร ?</span></strong></span><br />
<span style="font-family: MS Sans Serif;">ความหมายของ <strong>Tong Vfang Xien Qi</strong> แปลว่า <strong><span style="color: #669900;">"เทพพระเจ้าที่เกิดขึ้นทางทิศตะวันออก" </span></strong>สมาชิกนักเต้นทั้ง 5 คนของวงถูกสร้างขึ้นจากการรวมตัวของนักเรียนชั้นมัธยมที่ผ่านมาออดิชั่นเพื่อให้เข้ามาเติบโตในวงการ และสมาชิกทั้งหมดก็ได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขามีทั้งความสามารถในการเต้น การร้อง ซึ่งพร้อมที่จะกลายเป็น Dong Bang Shin Ki อย่างทุกวันนี้ ในระหว่างที่พวกเขาได้รับการฝึกเพื่อเป็นสมาชิกในวงนั้น ได้มีการฝึกแบบแยกส่วนจนในที่สุดก็กลับมารวมกัน และตั้งชื่อว่า <strong>Tong Vfang Xien Qi</strong></span><br />
<span style="font-family: MS Sans Serif;">สมาชิกคนแรกที่เข้าร่วมคือ <strong><span style="color: magenta;">Kim JunSu (김준수 คิม จุนซู)</span></strong> ซึ่งตอนนั้นเขาอายุได้เพียง 12 ปีเท่านั้น จุนซูเข้าวงการโดยผ่านทางรายการทีวีเพื่อค้นหาดารามากความสามารถหน้าใหม่ หลังจากนั้นเขาก็ได้รับการฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลา 6 ปี และมีอัลบั้มเป็นของตัวเองครั้งแรกในชื่อ Xiah Junsu (시아준수 (ชีอาจุนซู) ในภาษาเกาหลี ชีอา จะออกเสียงคล้าย Xiah)</span><br />
<span style="font-family: MS Sans Serif;">สมาชิกคนถัดมาที่เข้าร่วมใน TVXQ (Dong Bang Shin Ki, DBSK) คือ <strong><span style="color: #cc6633;">Jung YunHo (정윤호)</span></strong> ได้รับรางวัลในการออดิชั่นประกวดการเต้น แต่ว่าในตอนนั้นเขาไม่ชำนาญมากนัก เลยทำให้เขาได้เป็นแค่นักเต้นประกอบเพลงเรปของศิลปินที่ชื่อ Dana ในตอนนั้นชื่อที่เขาเรียกตัวเองบนเวทีมีชื่อว่า U-know YunHo (유노윤호 ยูโน ยุนโฮ เพราะว่า ตามหลักภาษาเกาหลี ถ้าเขียนว่า ยุนโฮ เวลาอ่านจะควบตัวสะกด กลายเป็นพยางค์ถัดไปเลย เลยกลายเป็น ยูโน)</span><br />
<span style="font-family: MS Sans Serif;"><strong><span style="color: #cc3300;">Kim JaeJoong(김재중)</span></strong> ถ้าให้เทียบก็ดูคล้ายกับ Tamaki Nami (นักร้องชาวญี่ปุ่น) ออกจากบ้านเกิดตัวเองเพื่อเข้าร่วมการออดิชั่นของ SM Entertainment เปิดตัวครั้งแรกในชื่อ fortune teller foretold years สำหรับเขารู้จักในนาม YoungWoong JaeJoong (영웅재중 ยองอุง แจจุง) หรือรู้จักกันในชื่อ Hero ซึ่งเป็นความหมายของ ยองอุง (영웅)</span><br />
<span style="font-family: MS Sans Serif;"><strong><span style="color: #cc3399;">Shim ChangMin (심창민)</span></strong> เขาเป็นสมาชิกที่ผ่านการออดิชั่นที่อายุน้อยที่สุด แต่ว่าถึงอย่างนั้นก็เถอะ เขาก็ผ่านบททดสอบมาหมดทุกอย่างอย่างที่ควรเป็น เขาเข้าร่วมเป็นสมาชิกวง ChoiKang ChangMin (최강창민ชเวกังชังมิน) สำหรับชื่อที่ใช้สำหรับในวงการของเขาคือ MAX</span><br />
<span style="font-family: MS Sans Serif;">ในช่วงเวลา 6 เดือนหลังจากดงบังชินกิได้บังเกิดขึ้น ก็ได้มีการเพิ่มสมาชิกใหม่อีกคนหนึ่งโดยเป็น ลูกครึ่งเกาหลี อเมริกัน Park YooChun (박유천) ภายหลังเปลี่ยนชื่อเพื่อใช้ในวงการเป็น <span style="color: #cc9900;"><strong>Micky YooChun (믹키유천)</strong> </span>จริงๆแล้วชื่อเขาในภาษาอังกฤษก็คือ Micky เขาเลยเลือกใช้ชื่อนี้ได้ทันทีอย่างไม่รีรอ</span><br />
<span style="font-family: MS Sans Serif;">ในการเตรียมการตอนแรกสำหรับ TVXQ (Dong Bang Shin Ki, DBSK) นั้นพวกเขาอัดเพลงร่วมกับ The Trax และ BoA ซึ่งในตอนนั้นโบอาโด่งดังมากในญี่ปุ่นแล้ว ส่วน The Trax ก็พึ่งทำตลาดในญี่ปุ่น จึงทำให้หลายๆคนรู้สึกเกรงกลัวกับกลุ่มบอยแบนด์กลุ่มใหม่กลุ่มนี้</span><br />
<span style="font-family: MS Sans Serif;">Tong Vfang Xien Qi TVXQ (Dong Bang Shin Ki, DBSK) ก็ยังได้ออกอัลบั้มและซิงเกิ้ลในจีนอีกด้วย SM Entertainment มีความคิดว่าเขาน่าจะเพิ่มสมาชิกชาวจีนเข้าไปอีกคนหนึ่งเพื่อให้เกิดความนิยมมากขึ้นกว่านี้ ผู้บริหารจึงได้มีความคิดในการแยกวง Tong Vfang Xien Qi เป็นสองกลุ่มโดยกลุ่มแรก ประกอบด้วยสมาชิก 3 คน U-Know, Micky, Xiah ให้ทำตลาดในเกาหลีและ อีกสองคน Hero, Max บวกกับสมาชิกใหม่จากประเทศจีนอีกคนหนึ่งให้ทำตลาดในจีน หลังจากข่าวนี้แพร่ออกไปทำให้แฟนๆของพวกเขา (Tong Vfang Xien Qi) โกรธมาก และแฟนๆได้กล่าวว่า ดงบังชินกิ จะต้องไม่ถูกแยกวง และต้องมีสมาชิก 5 คนเท่านั้น จึงทำให้การปรับเปลี่ยนครั้งนี้มีปัญหากระเทือนไปถึงอัลบั้มแรกของพวกเขา และในที่สุด SM Entertainment ก็ยกเลิกความคิดนี้ไป เนื่องจากการต่อต้านของแฟนๆที่มากเกิดกว่าจะควบคุมได้</span><br />
<span style="font-family: MS Sans Serif;">ในอีกทางหนึ่ง ตั้งแต่มีการก่อตั้ง TVXQ (Dong Bang Shin Ki, DBSK) ทำให้ Tong Vfang Xien Qi ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในเกาหลี จนทำให้มีการส่งออกเพลงของพวกเขาไปในประเทศต่างๆทั่วเอเชียในวันนี้</span><br />
<span style="font-family: MS Sans Serif;">ในเกาหลี Tong Vfang Xien Qi TVXQ (Dong Bang Shin Ki, DBSK) ได้ออกอัลบั้มมาแล้ว 2 ชุด (Tri-Angle, 2004; Rising Sun, 2005) และ Christmas อัลบั้ม (The Christmas Gift From TVXQ, 2004) ดงบังชินกิ ก็ยังได้ออกอัลบั้มร่วมกับสมาชิกคนอื่นๆในค่าย SM Entertainment ในชื่อ SM Town และออกซิงเกิ้ลอีก 3 ชุดคือ (Hug, 2004; The Way U Are, 2004; Hi Ya Ya 여름날, 2005)</span><br />
<br />
<img src="http://hopeless.exteen.com/images/TVXQ/01.jpg" /><br />
<br />
<span style="font-family: MS Sans Serif;"><strong>HERO JaeJoong</strong>ชื่อในวงการ : HERO | YoungWoong JaeJoong (영웅재중 or 英雄在中)<br />
ชื่อจริง : Kim Jae Joong (김재중)<br />
เกิดเมื่อ : 26 มกราคม 1986<br />
สัดส่วน : 178 เซนติเมตร 63 กิโลกรัม <br />
สถานที่เกิด : ทางใต้ของจังหวัดชุงชอง<br />
เลือด : O<br />
งานอดิเรก : เกมส์คอม ฟังเพลง<br />
ความสามารถ : ร้องเพลง เลียนแบบเสียงนักร้อง<br />
ผู้หญิงในอุดมคติ : ใครก็ได้ที่รู้สึกดีที่พบกันในครั้งแรก<br />
รางวัลที่ได้รับ : The Best Looks Prize at the second SM Best Competition<br />
<br />
<img src="http://hopeless.exteen.com/images/TVXQ/Image_004.jpg" /><br />
</span><span style="font-family: MS Sans Serif;"><strong>---------------------------------------------<br />
<br />
MAX ChangMin</strong><br />
ชื่อในวงการ : MAX | ChoiKang ChangMin (최강창민 or 最强昌珉)<br />
ชื่อจริง : Shim Chang-min 심창민)<br />
สัดส่วน : 184 เซนติเมตร 61 กิโลกรัม <br />
สถานที่เกิด : โซล<br />
เลือด : B<br />
งานอดิเรก : ฟังเพลง ร้องเพลง เกมส์คอม อ่านหนังสือ<br />
ความสามารถ : ร้อง เต้น<br />
ผู้หญิงในอุดมคติ : น่ารัก กระฉับกระเฉง<br />
รางวัลที่ได้รับ : The Best Singer Prize at the 6th SM Best Competition<br />
<br />
<img src="http://hopeless.exteen.com/images/TVXQ/Image.jpg" /><br />
</span><span style="font-family: MS Sans Serif;"><strong>---------------------------------------------</strong></span><span style="font-family: MS Sans Serif;"><strong>Xiah JunSu</strong><br />
ชื่อในวงการ : XIAH | Xiah JunSu (시아준수 or 细亚俊秀)<br />
ชื่อจริง : Kim Joon-soo (김준수)<br />
วันเกิด : January 1st, 1987<br />
สัดส่วน : 178 เซนติเมตร 60 กิโลกรัม <br />
สถานที่เกิด : จังหวัดคยองจิ<br />
เลือด : B<br />
งานอดิเรก : เปียโน บอล เกมส์คอม ร้องเพลง<br />
ความสามารถ : ร้อง เต้น<br />
<br />
<img src="http://hopeless.exteen.com/images/TVXQ/Image_003.jpg" /><br />
</span><span style="font-family: MS Sans Serif;"><strong>---------------------------------------------<br />
</strong></span><span style="font-family: MS Sans Serif;"><strong>U-KNOW YunHo</strong>ชื่อในวงการ : U-KNOW | U-know YunHo (유노윤호 or 瑜卤允浩)<br />
ชื่อจริง : Jeong Yoon-ho (정윤호)<br />
วันเกิด : 6 กุมภาพันธ์ 1986<br />
สถานที่เกิด : ทางใต้ของจังหวัดจอลลา<br />
สัดส่วน : 183 เซนติเมตร 66 กิโลกรัม<br />
เลือด : A<br />
งานอดิเรก : ฟังเพลง อ่านหนังสือ ออกกำลัง แต่งเพลง<br />
ความสามารถ : ร้อง เต้น<br />
รางวัลที่ได้รับ : The Best Dancer Prize at the 1st SM Best Competition<br />
<br />
<img src="http://hopeless.exteen.com/images/TVXQ/Image_005.jpg" /><br />
<br />
<br />
</span><span style="font-family: MS Sans Serif;"><strong>---------------------------------------------<br />
</strong></span><span style="font-family: MS Sans Serif;"><strong>Micky YooChun</strong>ชื่อในวงการ : MICKY | Micky YooChun (믹키유천 or 秘奇有天/秘奇有仟)<br />
ชื่อจริง : Park Yoo-cheon (박유천)<br />
สัดส่วน : 180 เซนติเมตร 64 กิโลกรัม <br />
สถานที่เกิด : Seoul<br />
วันเกิด : 4 มิถุนาคม 1986<br />
เลือด : O<br />
งานอดิเรก : แต่งเพลง เล่นบาสเก็ตบอล<br />
ความสามารถ : ร้องเพลง แต่งเพลง<br />
รางวัลที่ได้รับ : Special Prize at the 2003 KBN Youth Song Festival, Grand Prize at the 2001 American Song Contest (Virginia)<br />
<br />
<img src="http://hopeless.exteen.com/images/TVXQ/Image_006.jpg" /></span></div></div>ผู้หญิงลัลลาhttp://www.blogger.com/profile/15460925113498998808noreply@blogger.com0